มนุษยชน (Human)
วิวัฒนาการอันยาวนานได้เพื่มความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ จากต้องการอาหารและการป้องกันภัย เสริมเติมปัจจัยด้วยยาปฏิชีวนะ เสื้อผ้าแบรนด์เนม อาคารสูง ยานพาหนะความเร็วสูง และที่สำคัญคือ "การเอาคุณค่าดีงามไปไว้ในกระดาษเบาบางที่เรียกว่าเงิน" ความอัศจรรย์ที่มาจากสมองมนุษย์สุดจะหยั่งคาดเดาได้
เพื่อให้ได้มาซึ่งสรรพสิ่งที่ต้องการ กับห่วงโซ่อาหารที่จำกัด ปริมาณมหาสารของมนุษย์บวกกับความต้องการที่ไม่รู้จักพอ การแข่งขันแย่งชิงจึงเกิดขึ้น แล้ววิวัฒนามาเป็นการต่อรองตีราคา เอาค่าของชีวิต แลกกับอาหารและปัจจัยที่ต้องการเพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์เอาไว้ มนุษย์ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก
เปลี่ยนจากพัฒนาการแบบขั้นบันได และเพิ่มอัตราเป็นก้าวกระโดด การแลกเปลี่ยนได้กำหนดราคา เปลี่ยนคุณค่าของทุกสรรพสิ่ง กำหนดเป็นราคาและจำนวนนับ มนุษย์จึงหวงแหนเงินตรามากกว่ามารดาที่ให้กำเนิด เทิดทูญอุดมการณ์ยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า เมื่อปัจจัยแห่งการดำรงค์เผ่าพันธุ์ได้กำหนดไว้เช่นนี้ การแย่งชิงความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นจึงไม่จบสิ้น
เมื่อสมองไฝ่ดีของมนุษย์เริ่มลังเล ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เหมือนถูกคลอบคลุมไว้ด้วยฝุ่นละอองแห่งความอยากได้ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วในบรรยากาศ มองเห็นความจริงอันประเสริฐเพียงเลือนลาง
แต่เดิมนั้นความจริงอันประเสริฐมีอยู่แล้ว ความรู้อันประเสริฐทั้งหลายทั้งมวล มนุษย์ก็ได้รับรู้แล้ว สมองไฝ่ดีก็มีอยู่ในกมลสันดานมนุษย์แล้วเช่นกัน
แต่กาลเวลาที่เนิ่นนาน วิวัฒนาการของมนุษย์ได้เปลี่ยนหลักการจดจำข้อมูลแบบเดิมจาก "พฤติกรรมทำลายส่วนด้อยเลือกส่วนดีไว้" มาเป็น"พฤติกรรมจดจำข้อมูลอันหลากหลายด้วยการใช้หลักการจำแนกแยกประเภท" มนุษย์ใช้หลักการใหม่นี้เพื่อให้สามารถจดจำข้อมูลได้มากยิ่งขึ้นไปอีก และหลักการนี้เองที่ไปลดหน้าที่ของสมองส่วนประมวลผลและส่วนที่ใช้จินตนาการของมนุษย์ลง
ความเร็วของวิวัฒนาการที่ยกระดับเป็นพุ่งทยานก้าวกระโดด มนุษย์จะให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพ ขื่นชม นิยม ยินดีที่จะมีทรัพย์สินมาก ๆ โดยไม่ใส่ใจว่าทรัพย์สินส่วนเกินที่มีอยู่และทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้นั้นเปรียบเสมือนขยะ ที่สร้างปัญหาแก่ตนเองและสังคม เบี่ยงเบน ทำลายสมดุลย์แห่งธรรมชาติ และในที่สุดก็จะทำลายความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง
การจำแนกแยกประเภทนี้ได้ปิดกั้นจินตนาการของมนุษย์ ด้วยการเบี่ยงเบนจิตสำนึก ทำให้พฤติกรรมที่แสดงออก มีการกีดกันและการปฏิเสธเพิ่มมากขึ้น มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความขัดแย้งด้วยการแก่งแย่ง แยกแยะ เกิดการระแวงสงสัย รั้วกำแพงถูกสร้างให้สูงขึ้นในจิตใจเพื่อกีดกันตนเองจากคนอื่น ซึ่งย้อนแย้งกับคุณลักษณะการเป็นสัตว์สังคมดั้่งเดิมของมนุษย์
หลักการจำแนกแยกประเภทถูกปลูกฝังในจิตใจมนุษย์ และนำมาใช้อย่างหลงผิดนี้เอง ทำให้มนุษย์สัมพันธ์แปลเปลี่ยน จากความเอื้ออาทรต่อกัน กลายเป็น ความแปลกแยก เกิดความไม่สอดคล้องที่จะอยู่ร่วมรวมเป็นสังคมเดียวกัน เกิดการต่อต้านซึ่งกันและกัน
พฤติกรรม behavior เป็นความสำคัญอันดับแรกของมนุษย์ เพราะเป็นอาการที่สามารถรับรู้ได้ง่ายจากมนุษย์ด้วยกัน เมื่อใดที่มนุษย์เริ่มคลายความกังวลลง ความขัดข้องหมองใจในการดำเนินชีวิตลดน้อยถอยลง เมื่อนั้น ม่านฝุ่นละอองแห่งความอยากได้อย่างไร้ขีดจำกัด ที่คลอบคลุมฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไปในสังคม ก็จะเริ่มจากลง ความจริงอันประเสริฐจะเริ่มส่องสว่างในจิตสำนึกของมนุษย์เช่นกัน
"อรุณสวัสดิ์ของวันพรุ่งนี้จะเป็นวันดีหรือไม่อย่างไรนั้่น ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายที่กำลังนอนหลับในค่ำคืนนี้ว่า เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างไร"
พลเมือง (People)
คนไทยได้ถูกวางรากฐานความคิดแนวอำนาจนิยม หรือเผด็จการรวมศูนย์ มาตั้งแต่อดีต ก็เพราะนักปกครองไทยคุ้นเคยกับระบอบศักดินามาตลอด แม้เคยมีความพยายามเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิไตยอยู่หลายครั้ง หรือกล่าวอ้างโดยตั้งชื่อระบอบการปกครองของตนเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่หลักปฏิบัติกลับผิดแผกแตกต่างจากประชาธิปไตยต้นฉบับโดยสิ้นเชิง หลังจากคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)ทำ รัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรที่มาจากการเลือกตั้ง ได้จัดการงบประมาณ ได้ตำแหน่งทางราชการ ได้อำนาจบริหารจัดการประเทศ ได้ผลประโยชน์อีกมหาศาล ทั้งยังได้แต่งตั้งเหล่าสาวกลัทธิอำนาจนิยม ให้ดำรงค์ตำแหน่งใหญ่โตในระบบราชการ และในองค์กรอิสระต่าง ๆ แล้ว ก็ยังได้เพิ่มเชื้อมะเร็งร้ายทางการเมืองฝังไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50 ที่เขียนขึ้นใหม่ และตั้งชื่อระบอบการปกครองเสียใหม่เป็น "การปกครองระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ประชาชนก็สูญเสียและถอยห่างจากระบอบประชาธิไตยไปนับแต่นั้น
การเมืองการปกครองของไทยวุ่นวายอย่างหนัก มาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็น ยุควิกฤติ รสช.ก็ว่าได้ ดังนั้นการที่จะแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมืองครั้งนี้ ก็ต้องแก้ใขที่ต้นเหตุ ด้วยการถอดถอนสาวก รสช.ที่คุมอำนาจในวงราชการออกจากตำแหน่ง และแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นธรรมเสียใหม่ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการแก้ปัญหาการเมืองการปกครองได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
ถ้าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ยังมีแนวความคิดที่ว่า "เขียนตัวหนังสือเพียงสองสามบรรทัดแล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้" ละก็คิดผิดถนัดเลย เพราะการกระทำเช่นนั้นมีผลเฉพาะนักปกครองด้วยกัน และเป็นเพียงการสร้างเงื่อนไข เพื่มปมปัญหาขึ้นมาอีก การแก้ไขปัญหาต่อจากนั้น ด้วยการถอดถอนสาวกอำนาจนิยม และการแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเพียงการตอบปัญหาถูกเพียง 2 ข้อจากโจทย์ปัญหาทางการเมืองที่มีอยู่มากกว่า 10 ข้อในขณะนี้
สังคมโลกขับเคลื่อนไปได้ด้วยการกินการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สมาชิกในสังคมล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัจจัยความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งสี่ประการ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโลก ที่มีจำกัดและน้อยลงทุกขณะ เป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวง
ทุกคนเป็นผู้ผลิต เพื่อสร้างอำนาจซื้อหาปัจจัยพื้นฐาน และในขณะเดียวกันก็ใช้สินค้าและบริการเหล่านั้นด้วย ในการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย การไขว่คว้าหาโอกาสในการแสวงหารายได้เพิ่มขึ้น เพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อตอบสนองมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นเป็นลำดับ จำนวนประชากรของประเทศยิ่งเพื่มมากขึ้นเท่าใด อัตราส่วนทรัพยากรธรรมชาติก็ยิ่งน้อยลง การแย่งชิงยิ่งมากขึ้น เกิดข้อขัดแย้งมากขึ้นไปอีก ความวุ่นวายทางสังคมเหล่านี้ จึงควรได้รับการจัดการเชิงเศรษฐศาสตร์ อย่างถูกวิธี และถูกที่ถูกเวลา อย่างเป็นระบบ เพราะในความต้องการและจำนวนประชากรที่มากขึ้นนั้นได้เกิดรูปแบบการผลิตขนานใหญ่ขึ้น (mass production) เป็นการผลิตโดยใช้เครื่องจักรที่ได้มาตรฐานเดียวกันเป็นจำนวนมากเพื่อประสิทธิภาพหรือความประหยัด เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อของมวลมหาชนจำนวนมหาศาล ข้อดีคือ สินค้ามีราคาต่ำลง ข้อเสียคือ เป็นระบบการผลิตที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ผลิตแปลกแยก และผู้บริโภคไร้รสนิยม ไร้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวของตัวเอง
นักปกครองไทยได้ฉวยโอกาสเข้าควบคุม บริหารจัดการงบประมาณ และทรัพยากรธรรมชาติ ตามอำเภอใจ จัดสรรสัมปทาน จัดโควต้า ให้บางบริษัทที่อยู่ในตระกูลของตนได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ อีกทั้งใช้เงินงบประมาณที่มีอยู่และที่ได้มาจากการก่อหนี้สินผูกพันกับต่างชาติ (การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนกลายเป็นลูกหนี้เงินกู้กองทุนการเงินระหว่างประเทศโดยไม่รู้ตัว) เข้าไปลงทุนในกิจการเหล่านั้น ภาษีถูกแปลงสภาพให้กลายเป็นเงินลงทุนมหาศาล สร้างรายได้ ผลตอบแทน, กำไร, โบนัส, สวัสดิการ, ให้ข้าราชการ, รัฐวิสาหกิจ และบริษัทในตระกูลของตนและพวกพ้อง และในการระดมทุนจากการบังคับเรียกเก็บภาษีจากประชาชนนี้ ยังไม่เคยชดใช้ให้ผลตอบแทนต่อประชาชนผู้เสียภาษีเลย การบริหารจัดการงบประมาณและทรัพยากรธรรมชาติของนักปกครองไทย จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทขนาดใหญ่ในตระกูลของพวกพ้อง โดยมิได้ยึดหลักการกระจายทรัพยากรธรรมชาติ และการกระจายโอกาสในการทำมาหาเลี้ยงชีพ อย่างเสมอภาคต่อประชาชน
ปัญหาที่ตามมาจากการบริหารประเทศของนักปกครองไทย จึง ทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นกับประชาชนทุกคน, ทุกหย่อมหญ้า, ทั้งกิจการในครัวเรือน, ทุกกิจการขนาดเล็ก ไปจนถึงกิจการขนาดใหญ่อีกด้วย
เพราะทุนที่นักปกครองได้มานั้นไม่เคยอยู่ในวงจรการตลาด หรือไม่เคยอยู่ในระบบเศรษฐศาสตร์ หรือได้มาฟรี ๆ การใช้เงินงบประมาณแบบแม่ให้มาก้อนนี้ ไปลงทุนทำธุรกรรมใดๆ จึงเป็นการกระทำที่ขาดวินัยทางการค้า เป็นการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ราคาสินค้าแพงเกินมูลค่าที่เป็นจริง ทำให้ความต้องการซื้อและความต้องการขายไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน ผลผลิตมวลรวมได้ถูกใช้ไปเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานเพียง 10% ที่เหลือจึงเป็นขยะอีเลคโทรนิค ขยะมูลฝอย อาคารบ้านช่องและถนนหนทางรกร้างว่างเปล่าที่ไร้ผู้คน รวมถึงโครงการเมคกะโปรเจคที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนตลอดกาล หรือเป็นเพียงตัวเลขเขียว แดง ที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้นโดยไม่มีผลิตผลจริงในท้องตลาด เกิดการซื้อขายเพียงตัวเลข ซื้อขายมูลค่าอัตราแลกเปลี่ยน เกิดการแข่งขันและการทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อแลกกับเงินก้อนเล็ก ๆ เท่านั้น
การแก้ไขปัญหา เพื่อให้บรรลุมรรคผลไปด้วยกันทุกฝ่าย จึงมีแนวทางปฏิบัติให้เลือกได้ทางใดทางหนึ่งใน 2 ทางต่อไปนี้คือ
1. ใช้ปฏิบัติการสังคมเสรีนิยมเต็มรูปแบบ เริ่มด้วยการควบรวมกิจการทั้งหมดภายในประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสถาปนาระเบียบสังคมที่ปราศจากชนชั้น เงินและรัฐ โดยตั้งอยู่บนการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ทางสังคมเดียวกัน เป็นการผสมผสานกันระหว่างเศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์ไว้อย่างกลมกลืน โดยจัดให้ประชาชนทุกคนเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงที่เกียวข้องกับอาชีพที่ตนทำอยู่ มีการศึกษาเสรีตรงตามหมวดหมู่ความต้องการแรงงานภายในประเทศ จัดสรรพื้นที่,ชนิด,ปริมาณ และคุณภาพการผลิตอย่างทั่วถึงและตรงตามความต้องการและประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้เพื่อให้การกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ เป็นไปได้อยางแม่นยำ และมั่นคง
"ทรัพย์สินส่วนตัว คือ สัญลักษณ์แห่งความเห็นแก่ตัว ของนายทุน" #คาร์ล ไฮน์ริช มาร์กซ์
2. ใช้ปฏิบัติการปฏิรูประบบราชการเต็มรูปแบบ ควรเริ่มจากการ ลด ละ เลิก โดยห้ามนักปกครองหรือข้าราชการ เป็นเจ้าของ หรือเป็นหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ว่าจ้าง หรือผู้รับจ้าง บุคคลหรือนิติบุคคลเพื่อหวังผลหรือรับผลตอบแทนเป็นเงินหรือทรัพย์สินใด ๆที่มีค่าเป็นเงิน และให้บัญญัติข้อห้ามนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย เป็นการจัดวางและแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเด็ดขาด ไม่ก้าวก่ายซ้ำซ้อนกัน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าราชการกับประชาชน และทำให้กลไกการตลาดทำงานได้อย่างเที่ยงตรงตามความเป็นจริง ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการมีโอกาสเข้าถึง และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเสมอภาค อย่างเข้มแข็งทั่วถึง และถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ เกิดความมั่นคงทางเศรษกิจโดยรวม
"เราถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการที่จะเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข" #ทอมัส เจฟเฟอร์สัน