มีสองคำถามที่ต้องหาคำตอบให้ได้ คือ
1. เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก แต่นักการเมืองและข้าราชการยังอยากเข้ามาบริหารประเทศ ?2. ตัวเลขทางเศรษฐกิจดิ่งลง แต่ ข้าราชการร่ำรวยกันเป็นกอบเป็นกำ?
สัญญาณทั้งสองข้อรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่มีเหตุ และ ผล ที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน... เมื่อศึกษาลึก ๆ เข้าไปอีกก็พบว่า..
ข้อหนึ่ง เศษฐกิจไทยไม่ดีขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการบริหารรัฐกิจ คณะรัฐบาลที่เข้ามาบริหารทุกคณะใช้เงินงบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย ใช้คนเกินงาน ทำงานหละหลวม ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ ผลงานก็ต่ำกว่าแบบที่กำหนด เป็นการทำงานแบบผักชีโรยหน้า ทั้งการให้สัมปทาน และการกำหนดโควต้า ทุกโครงการได้รับประโยชน์กลับมาน้อยมาก (แต่ข้าราชการและน้กการเมืองกลับร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริต แต่กลับไม่ถูกสอบสวน และไม่ได้รับโทษทัณฑ์)
ข้อสอง เศษฐกิจต่ำลง แต่นักการเมือง และข้าราชการ กลับร่ำรวยกันอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมากจาก รัฐ (นักการเมืองและข้าราชการ) ทำงานด้วย "ระบบร่วมทุน" ในรูปแบบระบบสัมปทาน ระบบโควต้า ระบบเหมาจ่าย ฯ โดยมีหลัการว่า รัฐขายหรือให้เช่าทรัพยากรณ์ให้เอกชนแบบเหมารวม ในราคาถูก แต่ในโครงการนั้น รัฐจะส่งคนไปจดทะเบียนบริษัทเอาไว้เพื่อรับช่วงต่อ ( ข้าราชการทำได้เพราะไม่มีข้อห้ามให้ข้าราชการทำธุรกิจส่วนตัว หรือ เล่นหุ้น หรือ ทำกิจการใดๆ เพื่อหวังกำไร) แล้วองค์กรเหล่านั้นก็เอาทรัพยากรที่ได้สัมปทานจากรัฐ ไปขายให้รัฐ หรือขายให้ประชาชน หรือขายให้ต่างประเทศในราคาสูงอีกต่อหนึ่ง กำไรและผลประโยชน์จึงตกเป็นขององค์กรเหล่านั้น รัฐก็จะขาดทุนตลอดกาล ( ระบบคอรัปชั่นนั้น ทำกัน ตั้งแต่องค์กรขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล ไปจนถึงระดับ G2G)